เมืองไทยประกันภัย เผยกำไร 9 เดือนของปี 65 แตะ 698.6 ล้าน เติบโต 11.6%

เศรษฐกิจ

เมืองไทยประกันภัย เผยกำไร 9 เดือนของปี 65 แตะ 698.6 ล้าน เติบโต 11.6%

เมืองไทยประกันภัย เผยกำไร 9 เดือนของปี 65 แตะ 698.6 ล้าน หลังปรับกลยุทธ์นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ประกันขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ประกันอัคคีภัย และประกันอุบัติเหตุ

นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/65 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 65 บริษัทฯ มีผลประกอบการโดยรวมเติบโตเป็นที่น่าพอใจ เฉพาะไตรมาสที่ 3 มีกำไรสุทธิ 220.8 ล้านบาท มาจากการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการรับประกันภัยได้ดี ประกอบกับอัตราส่วนสินไหมปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน ส่งผลให้มีกำไรจากการรับประกันภัยที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัย นอกเหนือจากประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Marine Cargo) ประกันอัคคีภัย และประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล โดยเล็งเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาดูแลใส่ใจสุขภาพเพื่อรองรับความเสี่ยงในชีวิตของตนเองและครอบครัวและรองรับสังคมผู้สูงอายุ จึงได้พัฒนาประกันสุขภาพ Health me+ (เฮลท์มีพลัส) เน้นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการประกันภัยสุขภาพ ซึ่งให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกด้าน

เศรษฐกิจ

สำหรับภาพรวมของเบี้ยประกันที่ถือเป็นรายได้สำหรับปี 2565 มีจำนวน 6,318.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 780.4 ล้านบาท คิดเป็น 14.1% กำไรจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายดำเนินงานมีจำนวน 482.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 235.3 ล้านบาท คิดเป็น 95.2% ส่วนกำไรและรายได้จากการลงทุนมีจำนวน 393.2 ล้านบาท กำไรสุทธิปีนี้ จำนวน 698.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 72.7 ล้านบาท คิดเป็น 11.6%

นางนวลพรรณ กล่าวอีกว่า นับเป็นปีที่ 90 ของเมืองไทยประกันภัย ที่เรายังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจให้องค์กรเข้มแข็ง ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของผู้บริหารและพนักงานทุกคนภายใต้สถานการณ์ที่กดดันและภาวะวิกฤติหลายต่อหลายครั้ง ขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนในปี 2565 แต่เรายังคงเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อสร้างบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

รวมถึง ยังต้องวางแผนรับความท้าทายที่ต้องปรับตัวพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี รวมถึงการตั้งรับโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เราเน้นให้ความสำคัญต่อการทำธุรกิจที่คำนึงถึงมิติของความรับผิดชอบ 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม สังคม การกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) ด้วยเช่นกัน

แนะนำข่าวเศรษฐกิจเพิ่มเติม : ชงเลิก! ลดหย่อน-ยกเว้นภาษี